บทความที่สตีฟส่งมาเรื่อง การดูแลนก Health Care
มีวิธีในการดูแลสุขภาพนกพิราบให้ปลอดภัยจากโรคได้อยู่ 2 แนวทางคือ แนวทางที่หนึ่งคือการให้ยาหลังจากวิเคราะห์โรคแล้ว และ แนวทางที่สองคือการให้ยาล่วงหน้า
ที่ดีที่สุดคือการให้ห้องแลปในการวิเคราะห์โรคก่อนการรักษา แต่เนื่องจากเหตุผลทางค่าใช้จ่าย หรือห้องแลปไม่เพียงพอ หรือนักเลี้ยงนกเองมีความมั่นใจว่าจะวิเคราะห์โรคได้เอง ทำให้วิธีการนี้นำมาปฏิบัติได้ยาก
1. แนวทางที่หนึ่ง การให้ยาหลังการวิเคราะห์โรคแล้ว
1.1 การให้วัคซีนสำหรับป้องกันโรค
ก. พารามิกโซ
ข. พาราไทฟอยร์
ค. ฝีดาษ ที่เกิดกับลูกนก
การให้วัคซีนกันฝีดาษ ให้ทำก่อน 8 อาทิตย์ก่อนแข่งขัน พารามิกโซ และพาราไทฟอยร์ สามารถทำควบคู่กับยาฝีดาษหากพบแนวโน้มว่าจะมีการระบาดของเชื้อโรคดังกล่าว
หลังนกหย่านมแล้วสามารถให้วัคซีนได้ แต่นกไม่ควรอ่อนกว่าอายุ 28 วัน หลังจากให้ครั้งแรกแล้ว ให้ซ้ำได้ตามความเหมาะสม
ง. การตรวจวิเคราะห์มูลนก สามารถตรวจหาพยาธิโดยตรงจากนกตัวที่สงสัยจะพบเชื้อหรือตรวจโดยรวมจากการเก็บตัวอย่างจากช่องเกาะ เพื่อหาพยาธิตัวกลม ตัวแบน เส้นด้าย หรือพยาธิในลำใส้
การรักษา ให้ใช้ยา Ivermectin หรือ Ivomec โดยทำให้เจือจางโดยมีอัตราส่วน 1:9 กับ propylene Glycol ให้แก่นก 0.1cc (1-2 หยด) หยอดใส่ปาก จะสามารถฆ่าพยาธิได้หลายชนิด ยกเว้น Tape worm พยาธิตัวแบน และในกรณีของพยาธิในท้อง Stomach worms ต้องให้ยา Ivomec 1 cc โดยตรง ในกรณีเช่นนี้ ยา Ivomec ที่ค้างอยู่ในสายเลือดยังสามารถฆ่าไรนกได้อีกด้วย
ใช้ยา Mobendazole หรือ Telmintic ให้ใช้ 1/4 หรือ 1/2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แกลลอน ให้นกดื่มซัก 3-5 วัน หลังจากนั้นอีก 21 วัน ให้ทำซ้ำอีกครั้งหากสงสัยว่ายังมีการระบาดอีกและกรณีหน้าหนาวซึ่งนกดื่มน้ำน้อยอันอาจจะทำให้ได้ยาน้อยเกินไป และให้มากขึ้นเพื่อฆ่าพยาธิในท้อง Stomach Wall worm แต่ให้ระวัง นักเลี้ยงนกบางคนให้มากเกินไปเช่นเป็น 10 เท่าของที่แนะนำ จะมีผลทำให้ขนนกเสียและไข่ไม่มีเชื้อ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในช่วงนกผลัดขนหรือวางไข่
Levamisole หรือ Tramisol ให้ 1,000 หรือ 1,500 mg ต่อน้ำ 1 แกลลอน ให้ 1-2 วัน ให้เลือกใช้แบบน้ำ เพราะแบบเม็ดจะไม่ละลายน้ำ แต่ยา Tramisol อาจใช้ไม่ได้ผลต่อ พยาธิ Capillarial และพยาธิตัวแบน ทั้งยังอาจทำให้นกอาเจียนได้
Praziguantel หรือ Droncit ให้ 1/4 เม็ดต่อนก 1 ตัว ได้ผลต่อพยาธิ Tape worm
การให้ยานกที่มีปัญหาอุจจาระร่วงหรือบิด
Sulfachlorpridazine หรือ Vetisulid ให้ 2/3 ช้อนชาต่อน้ำ 1 แกลลอน เป็นเวลา 3-5 วัน
Amprolium หรือ Amprol ให้ 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 แกลลอน 3-5 วัน
ให้ยาหนึ่งในสองชนิดนี้ แล้วตามด้ววิตามินอีก 1-2 วัน
Clazoril ให้ 1 เม็ดต่อตัว
Nitrofurazone เป็นยาที่ไม่แนะน้ำให้ใช้
การรักษา Canker แคงเกอร์
Emtryl ให้ 3/4 ช้อนชาต่อน้ำ 4 ลิตร เป็นเวลา 5-7 วัน ยาชนิดนี้ถูกยกเลิกการใช้แล้ว แต่ถือว่าใช้ได้ผลดี แต่อาจเกิดพิษถ้าใช้มากเกินไป
Ipropan ให้ 1/4 ช้อนชาต่อน้ำ 1 แกลลอนเป็นเวลา 3-5 วัน ยาราคาค่อนข้างแพงแต่ใช้ได้ผล ยานี้มีแนวโน้มว่าจะถูกห้ามใช้ในอนาคต (บทความนี้เขียนมาหลายปีแล้ว - ผู้แปล)
spartrix หรือ Carnidazole 1 เม็ดต่อนกหนึ่งตัว
Fagyl หรือ Motronidazole ยาต้องมีใบสั่งแพทย์ เป็นยาเม็ดต้องบดให้ละเอียดแล้วผสมน้ำ ให้ดูวิธีใช้ยาให้ละเอียด
การเพาะเชื้อจากมูลนก
ไม่ว่าจะเป็นการนำมูลนกที่เจาะจงตัวนั้น ๆ หรือจากกรง ก็เป็นการศึกษาปริมาณเชื้อในกลุ่มอุจจาระร่วง เช่น Salmonella หรือ E. Coli ซึ่งถ้าพบได้จำนวนน้อย ซึ่งถือว่าเป็นปกติ แต่ถ้าขยายตัวมากขึ้น ก็เรียกได้ว่ากรงเริ่มมีการติดเชื้อแล้ว การให้ยา แอนตี้ไบโอติก Amoxicillin trihydrate นับว่าให้ผลดี การให้ยา 25-50 mg ต่อนกหนึ่งตัวต่อวัน ตลอด 2 อาทิตย์ ยา Vetisulid ใช้ได้ผลดีมากต่อเชื้อ E. Coli เช่นเดียวกับยา Aproycin ยาตัวหลังนี้ ไม่ได้ถูกดูดซึมจากลำใส้ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะหยุดการขยายตัวของโรค แต่ไม่ตัดวงจรการติดเชื้อ ซึ่งอาจติดไปถึงเนื้อเยื้อได้โดยผ่านทางสายเลือด
โรคมาเลเรียในเม็ดเลือด
ในกรณีที่นกอยู่ในบริเวณที่มีโรคมาเลเรีย การใช้ยา Antimalarials อย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความรุนแรงลง สำหรับนกที่ติดเชื้อ ต้องให้ยาอย่างต่อเนื่อง โดยการให้ยา Atabrine 10 mg ทุกวันจนครบ 30 วัน ในถิ่นที่มีความเสี่ยง ต้องให้ยา Atabrine 1-2 เม็ด/แกลลอน Primagine 1 เม็ด/แกลลอน หรือ Aralen 1 เม็ด/แกลลอน เป็นเวลา 1-2 วัน ต่ออาทิตย์ในช่วงนกเข้าแข่งขัน (ผู้เขียนบทความใช้คำว่า 1Tab/gallon แต่ผู้แปลนึกสภาพของยาไม่ออกว่ามีขายในลักษณะใด จึงใช้คำว่า เม็ด แทน tab )
ต้องดูแลเรื่องริ้น ไร ที่อยู่บนขนและตัวนกอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากยาที่ผสมในน้ำที่ใช้อาบไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในขนนกอย่างทั่วถึง จึงควรใช้ยาเป็นผงอัดเป็นแท่งแบบข๊อค Chalkขูดตามขนและตัว ขณะนี้ถูกห้ามใช้เพราะมีส่วนผสมของสารหนู แต่ยังคงหาซื้อได้จากประเทศแถวเอเซีย ชื่อยาเหล่านี้คือ Permothrin Malathion หรือ Carbaryl
ใช้ยาผง Permothrin นี้ 2-4 อาทิตย์ หรือ Malathion ทุก ๆ อาทิตย์ จะกำจัดแมลงวันตัวแบนที่ซ่อนในขนนกได้ จะช่วยลดโรคติดเชื้อในเม็ดเลือด (haemoproteus)
ยุง เป็นพาหะนำเชื้อมาเลเรีย ยาฆ่าแมลงประเภทระเหยใช้แขวนไว้ในกรงให้กลิ่นระเหยออกมานับว่าใช้ได้ผลพอสมควร จะใช้ยาจำนวนมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับขนาดของกรงและอากาศถ่ายเทมากน้อยเพียงใด
ยา Ivermectin จำนวน 1cc ผสมน้ำ 32 ออนซ์ ใช้ได้ผลในการฆ่าไร แต่ไม่สามารถไล่แมลงวันตัวแบนได้
การใช้ยาฆ่าแมลงในกรงและในช่องเกาะมีความจำเป็น เพื่อตัดวงจรการแพร่พันธุ์ของแมลงเหล่านี้ แต่เนื่องจากเป็นอันตรายจึงต้องใช้อย่างระวัง
โรค Mycoplasmosis หรือ Chlamydiosis ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ
การรักษา
Crylhromycin หรือ Gallimycin 25-30mg ต่อนก1 ตัว หรือ Tylasin 50mg ต่อนก 1 ตัว หรือ Lincocin 35-50 mg ต่อนก 1 ตัว ทุกวัน เป็นเวลา 1-2 อาทิตย์สำหรับรักษาโรค Mycoplasmosis
Tetracyclines (โดยไม่ใช้รวมกับแร่และเปลือกหอยต่าง ๆ) 50 mgต่อนก 1 ตัว เป็นเวลา 2-4 อาทิตย์เพื่อรักษาโรค Chalmydiosis และรวมถึงโรค Mycoplasmosis ได้
Doxycycline Hyclate จำนวน 25mg/lb 2 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 5-7 วัน จากนั้นให้วันละครั้งอีก 4 อาทิตย์
ให้ยาปฏิชีวนะเพิ่มเติมเมื่อนกมีอาการน้ำมูกไหล
-------------------------------------------------------
แนวทางที่ 2 คือ การให้ยาเพื่อป้องกันโรคโดยไม่มีการวิเคราะห์ก่อนล่วงหน้า
สำหรับนกพันธุ์ ให้ทำล่วงหน้า 4-6 อาทิตย์ ก่อนเข้าคู่
สำหรับนกแข่งหรืออื่น ๆ ให้ทำล่วงหน้า 6-8 อาทิตย์ ก่อนแข่งขันหรือก่อนนำนกไปทำกิจกรรมอื่น ๆ นอกกรง (ที่ยุโรปคงมีการนำนกไปโชร์ตัวหรืออื่น ๆ ที่เมืองไทยคงไม่มี)
ลำดับการให้ยา
ให้วัคซีน พารามิกโซ พาราไทฟอยร์ ฝีดาษ เสร็จแล้ว เว้นไว้ 1 อาทิตย์ แล้วให้ยาฆ่าพยาธิ Ivomec หรือ Telmintc หรือ Tramisol จากนั้นให้วิตามินอีก 2 วัน แล้วเว้นไว้อีก 2-3 วัน
ต่อด้วยโรคบิด โรคลำใส้ ให้ยา
Vetisulid
Coprid หรือ Amprol
Clazoril ถ้าหาซื้อได้
ต่อด้วยให้วิตามินอีก 2 วันแล้วเว้นไว้ 2-3 วัน
ตามด้วยยา Canker โดยใช้ตัวหนึ่งตัวใดในกล่มนี้คือ
Emtryl Spartrix Flagyl(น่าจะดีที่สุด แต่ต้องมีใบสั่งแพทย์)
Risol
ในกรณีที่ให้ยาแก่นกทั้งฝูง ใช้ยาชนิดหนึ่งในครั้งแรกแล้วให้เปลี่ยนเป็นยาอีกชนิดในโอกาสที่ต้องใช้ต่อไปเพื่อหลีกเลี่ยงการดื้อยา
จากนั้นต่อด้วยวิตามิน อีก 2 วัน แล้วเว้นไว้อีก 2-3 วัน
การให้ยาตามลำดับที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จำนวนโด๊ส ให้เป็นไปตามที่ให้ไว้ในแนวทางแรก
ข้อสังเกตุ สามารถให้ยา Telmintic emtryl และ amprol ร่วมกันได้ ขณะเดียวกันก็ให้ยาฆ่าพยาธิ โรคอุจจาระร่วง และบิด รวมกันได้เช่นกัน แต่อย่าลืมต้องตามด้วยวิตามินอีก 2 วัน อย่าใช้ยาชนิดอื่น ๆ แบบปนกัน นอกจากที่กล่าวมาแล้ว เพราะส่วนผสมกันแล้วอาจเกิดการสร้างพิษแก่ร่างกายได้
การให้ยาป้องกัน E. coli หรือ พาราไทฟอยร์ถือว่าไม่ใช่จะปลอดภัยเลยทีเดียวนัก แต่โดยรวมแล้วถือว่ามีประโยชน์มากในบางกรณี
ยา Amoxicillin, Nitrofurozone, Vetisulid หรือ Aprolan เป็นยาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
การใช้ยาเพื่อรักษาโรคทางเดินหายใจเช่น Chiamydia และ Mycoplasmal ให้ใช้ต่อเมื่อพบอาการของโรคแสดงออกมาแล้วเท่านั้น ยาที่ใช้คือ Erythromycin Gollimycin, Tylosin Tylan Lincomysin Lincocin และ Tetracycline .
ข้อสังเกตุ การใช้ยาปฏิชีวนะในลักษณะเหวี่ยงแหมีผลต่อการทำลายแบตทีเรียดี ๆ ที่มีประโยชน์ และยังมีผลทำให้โรคดื้อยาด้วย ดังนั้น ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังตามควรแก่ความจำเป็นเท่านั้น
ลำดับการให้ยาดังที่กล่าวมานี้ ทำซ้ำได้หลังการแข่งขันหรือหลังการนำนกกลับจากการแสดงอื่น ๆ หรือการเพาะพันธุ์นกแล้ว
อย่าลืมหลังให้ยาแล้ว ต้องให้วิตามินรวมด้วยอีก 1-2 วัน
อย่าลืมให้ความสำคัญด้านการเสริมแบททีเรียดี ๆ แก่นกหลังให้ยาปฏิชีวนะเพื่อเสริมภูมิต้านทานแก่นกเองและรวมทั้งสภาพโดยรวมของกรงด้วย
สภาพและโครงสร้างของกรงขึ้นอยู่กับภูมิประเทศ/อากาศของกรงนั้น ๆ รวมทั้งให้อยู่ในแบบที่ดูแลทำความสะอาดง่าย พื้นที่เป็นตะแกรงทำความสะอาดได้ดีและง่ายกว่าพื้นที่คอนกรีดที่ถึงแม้จะดูสะอาดแต่อาจสะสมความชื้นและเปียกได้มากกว่า
ไข่พยาธิและบิดมีวงจรการเจริญเติบโตก่อนที่จะกลายเป็นโรค สภาพอากาศชื้นและอุ่นมีส่วนเสริมในการขยายการเจริญเติบโตของโรคดังกล่าว ดังนั้นการแซะมูลนกทุก ๆ วันถ้าทำได้จะเป็นการดีที่สุดที่จะทำลายไข่พยาธิ กรงสะอาดหมายถึงสภาพที่อยู่อาศัยที่ทำให้นกสมบูรณ์ ความแออัดถือว่าเป็นศัตรูของนักเลี้ยงนกลำดับต้น ๆ นกไม่มีทางทำผลงานได้ดีเลยถ้าอยู่ในกรงที่สกปรกและแออัด
การควบคุมโรค
สร้างแหล่งกักกันโรคสำหรับลูกนกใหม่ ซึ่งอาจเป็นพาหะนำเชื้อต่างเข้ากรง รวมทั้งอาจผ่านมาทางนกเร่ร่อนด้วย ถ้าให้ดีที่สุด ต้องกักกันนกใหม่ก่อนเข้ากรง 30-60 วันก่อนนำมารวมกัน ให้แยกนกป่วยออกมาไว้กรงเล็ก ๆ และให้แน่ใจด้วยว่าจะไม่ไปติดต่อสู่นกในกรงเล็ก ๆ ตัวอื่น ๆ
เมื่อพบว่านกมีอาการเป็นโรค อย่าใช้วิธีคาดเดาว่าจะเป็นอะไร แล้วเดินหน้ารักษาเลยแบบสุ่มสี่สุ่มห้า สัตวแพทย์จะให้คำปรึกษาได้ ถึงแม้ว่าบางคนจะไม่มีประสพการณ์เกี่ยวกับนกพิราบ แต่อย่างน้อยก็อาจช่วยแนะนำให้ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือนำนกป่วยหรือตายไปวิเคราะห์ได้ถูกที่ โดยทั่ว ๆ ไป น่าจะมีสัตวแพทย์ที่ให้ความสนใจสัตว์ปีกรวมทั้งนกพิราบ ที่จะช่วยดูแลให้โดยค่าใช้จ่ายที่ไม่แพง อย่าหยิ่งกินไปที่จะถามหรือขอคำแนะนำหรือขอความช่วยเหลือ คิดดูว่าค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายไปให้แก่ผู้เชี่ยวชาญเมื่อเทียบกับราคาค่านกที่ซื้อมาเข้ากรงนั้น ว่าคุ้มกันหรือไม่
โดย Gordon A Chamlers
อนุญาติให้พิมพ์และแปลแล้ว