การนำเข้าสัตว์มีชีวิต

การนำเข้าสัตว์มีชีวิต

การดำเนินการล่วงหน้า

1.ติดต่อ สอบถาม ขอคำแนะนำเบื้องต้นจากเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศประจำท่าเข้านั้น
2.เนื่องจากสัตว์นำเข้าต้องผ่านการกักตรวจจากสัตวแพทย์ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศ ณ คอกกักกันสัตว์ของด่าน หากผู้นำเข้าประสงค์จะกักกันสัตว์ให้เจ้าหน้าที่สัตวแพทย์กรมปศุสัตว์ตรวจรับรองความเหมาะสมให้เรียบร้อยก่อน
3.การยื่นคำร้องขออนุญาตนำเข้าฯ ผู้ขออนุญาตต้องดำเนินการล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน ยกเว้นสัตว์ที่นำติดตัวเข้ามายื่นคำขอขณะเข้ามาก็ได้และควรจะติดต่อด้วยตนเอง โดยยื่นคำร้องเป็นหนังสือตามแบบที่กรมปศุสัตว์กำหนด พร้อมแนบสำเนาหลักฐานบัตรประจำตัวมาด้วยทุกครั้ง ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตไม่สามารถมาติดต่อด้วยตนเองได้ ให้มีหนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาหลักฐานบัตรประจำตัว ผู้มอบอำนาจแนบมาด้วยทุกครั้ง
4.กรมปศุสัตว์จะตรวจสอบสภาวะโรคของประเทศต้นทางจนมั่นใจว่าปลอดภัยจริง จึงออกหนังสืออนุมัติในหลักการ อนุญาตนำสัตว์เข้าราชอาณาจักรฉบับภาษาอังกฤษ (Import Permit) พร้อมกำหนดเงื่อนไข (Requirement) การนำเข้าของสัตว์นั้น
5.ผู้ขออนุญาตเมื่อได้รับเอกสารหนังสืออนุมัติในหลักการอนุญาตนำเข้า ฉบับภาษาอังกฤษ (Import Permit) ของกรมปศุสัตว์แล้วให้นำส่งไปยังประเทศต้นทางทันที เพื่อประเทศต้นทางจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไข (Requirement) ที่กรมปศุสัตว์กำหนด (เงื่อนไขประกอบการนำสัตว์เข้าประเทศของกรมปศุสัตว์ จะปรับปรุงสม่ำเสมอ เพื่อให้เป็นปัจจุบัน และป้องกันมิให้โรคระบาดสัตว์ ทุกชนิดจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทย)
6.ผู้ขออนุญาตต้องแจ้งยืนยันการนำเข้าต่อยืนยันการนำเข้าต่อเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ ณ ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศประจำท่าเข้านั้นเกี่ยวกับ วัน เวลา ที่นำเข้าและเที่ยวบิน เที่ยวเรือ หรือเที่ยวขบวนรถไฟหรือทะเบียนยานพาหนะที่ใช้บรรทุกทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 วัน ก่อนสัตว์เดินทางมาถึงเพื่อสัตวแพทย์ควบคุมรถบรรทุกสัตว์ไปยังสถานกักกันสัตว์ที่กรมปศุสัตว์กำหนด และออกเอกสารใบแจ้ง อนุมัตินำเข้า (ร.6) ให้ผู้ขออนุญาตนำไปติดต่อ ดำเนินการทางพิธีศุลกากรที่ด่านศุลกากรประจำท่าเข้านั้น
7.สัตว์ที่นำเข้าต้องมีเอกสารหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ (Health Certificate) เป็นภาษาอังกฤษ ออกให้โดยสัตวแพทย์รัฐบาลผู้มีอำนาจเต็มจากประเทศต้นทาง ถ้าเอกสารรับรองเป็นภาษาอื่น ให้แปลเป็นภาษาอังกฤษ และรับรองโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลประเทศต้นทาง หรือเจ้าหน้าที่สถานฑูตประเทศต้นทาง ประจำประเทศไทย หนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ต้องตรงตามเงื่อนไขการนำเข้าที่กรมปศุสัตว์กำหนดทุกประการ ถ้ามีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ไม่ตรงตาม เงื่อนไขที่กรมปศุสัตว์กำหนด สัตว์นั้นจะไม่อนุญาตให้นำเข้าประเทศไทย
8.สัตว์ที่นำเข้ามาทำพันธุ์ ต้องมีเอกสารหนังสือรับรองพันธุ์ประวัติ (Pedigree) แนบมาด้วยทุกครั้ง
9.ผู้เข้าต้องเตรียมสำเนาเอกสารแสดงราคาสัตว์ มอบให้เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ทุกครั้งที่นำเข้าราชอาณาจักร

การดำเนินการช่วงนำเข้า

1.ผู้นำสัตว์เข้าราชอาณาจักรที่มิใช่สัตว์พันธุ์ หรือเป็นสัตว์พันธุ์แต่ไม่มีหนังสือรับรองพันธุ์ประวัติสัตว์นำเข้าฯ ประกอบมา ผู้นำเข้าต้องเสียค่าธรรมเนียมนำเข้าราชอาณาจักรที่กำหนดในกฏกระทรวงฯ ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์
พ.ศ. 2499 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2542
2.เมื่อเจ้าหน้าที่สัตว์แพทย์ตรวจสอบเอกสารครบถ้วนแล้ว จะแจ้งให้ผู้ขออนุญาตนำเข้า นำสัตว์ไปกักตรวจ ณ สถานกักกันสัตว์ที่กำหนด

การดำเนินการหลังการนำเข้า

1.สัตว์จะถูกนำไปกักกันดูอาการ ณ สถานกักกันสัตว์ที่กรมปศุสัตว์กำหนด ในระยะเวลาที่นักวิชาการสัตวแพทย์จะพิจารณา เพื่อให้นักวิชาการสัตวแพทย์ เก็บตัวอย่างต่าง ๆ จากสัตว์ไปตรวจทางห้องปฏิบัติการว่าปลอดโรค และผ่านพ้นระยะเวลาการกักกันแล้ว จึงจะอนุญาตเคลื่อนย้าย ออกจากสถานกักกันสัตว์ได้ โดยเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์จะออกใบอนุญาตนำเข้า (ร. 7) มอบให้ผู้นำเข้าไว้เป็นหลักฐาน
2.ในกรณีสัตว์ป่วย สัตว์ตาย ขณะเดินทางมาถึง หรือระหว่างกักกันดูอาการ ณ สถานกักกันสัตว์ เจ้าของสัตว์ต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ กรมปศุสัตว์ทันที เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการช่วยเหลือ ให้คำแนะนำและ เก็บตัวอย่างส่งห้องปฏิบัติการ เพื่อชันสูตรโรคต่อไป

เว็บนี้ให้บริการ นำเข้า สุนัขและแมวไปได้ทั่วโลก เค้าเป็นผู้เชี่ยวชาณ์เลยล่ะครับ ถ้าจะนำนกเข้ามาไทยคงต้องปรึกษาเข้าดูแหล่ะ

http://www.misterdogclub.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538710906

ตัวอย่างตามข่าว

ลิงจิ๋ว สัตว์เลี้ยงใหม่เศรษฐีไทย นำเข้าจากอเมริกาใต้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ปทส.) นำหมายศาลเข้าตรวจค้นห้องพักของนายสมเกียรติ์ ปัณณะเจริญรักษ์ เขตยานนาวา พบลิงพันธุ์มาโมเซต ซึ่งเป็นลิงขนาดเล็ก มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้จำนวน 13 ตัว โดยนายสมเกียรติอ้างว่า มีหลักฐานการซื้อขายและขออนุญาตการนำเข้าอย่างถูกต้อง ว่า นายวัฒนา เวทยประสิทธิ์ ผู้อำนวยการกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่า และพืชป่าตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ไกลจะสูญพันธุ์ (ไซเตส) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า จากการตรวจสอบระบุเจ้าของลิงมีใบอนุญาตนำเข้าลิงชนิดนี้ จำนวน 13 ตัวอย่างถูกต้อง

นายวัฒนา กล่าวเพิ่มเติมว่า ลิงดังกล่าวจัดอยู่ในบัญชี 2 (นกเหยี่ยวต่างประเทศก็อยู่ในบัญชี2) ซึ่งเป็นสัตว์ที่อนุญาตให้มีการซื้อขายได้ โดยผู้ที่ขอนำเข้าลิงพันธุ์ดังกล่าว ส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าจะนำไปใช้ในกิจการสวนสัตว์และมีบางส่วนขอเลี้ยงเอง แต่มักจะเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีฐานะดี แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก โดยกลุ่มนี้จะของอนุญาตนำเข้ามาเพียงตัวหรือสองตัวเท่านั้น

"ในกรณีของลิงมาโมเซต 13 ตัวนี้ หากเขาจะเอาไปขายก็คงจะไปทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะกฎหมายสัตว์ป่าของไทยที่เกี่ยวกับไซเตส ไม่ได้ระบุครอบคลุมถึงการควบคุมสัตว์เหล่านี้หลังจากที่เข้ามาในประเทศแล้ว เพียงแต่บอกว่าจำเป็นต้องแจ้งเมื่อนำเข้ามาเท่านั้น และจะต้องแจ้งเมื่อมีการเปลี่ยนมือ ซึ่งถ้าเขานำไปขายแล้วเปลี่ยนไปอยู่ที่ใคร เขาก็จะต้องมาแจ้งถ้าไม่แจ้งก็ถือว่ามีความผิด" นายวัฒนากล่าว

เงื่อนไขการนำสุนัขหรือแมวเข้าในราชอาณาจักร

1. จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออกโดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
1.1 จำนวนและชนิดสัตว์
1.2 พันธุ์ เพศ อายุ และสี หรือรูปพรรณสัณฐานสัตว์
1.3 ชื่อและที่อยู่ของเจ้าของหรือคอกที่เป็นแหล่งกำเนิด
1.4 การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึงข้อ 5
2. สัตว์ต้องมาจากแหล่งที่มีการควบคุมโรคสัตว์ และต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ไม่มีอาการหรือวิการของโรคติดเชื้อ หรือโรคติดต่อ หรือพยาธิภายนอกใด ๆ ในขณะที่ส่งออก และเหมาะสมสำหรับการขนส่งหรือเดินทาง
3.ประเทศผู้ส่งออกต้องปลอดจากโรคพิษสุนัขบ้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีหรือสัตว์ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าชนิดที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการไม่น้อยกว่ายี่สิบเอ็ดวันก่อนออกเดินทาง
4. สุนัขต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคเลปโตสไปรา (Leptospirosis) อย่างน้อยยี่สิบเอ็ดวัน ก่อนออกเดินทาง หรือต้องได้รับการทดสอบโรคเลปโตสไปรา (Leptospirosis) ในช่วงสามสิบวัน ก่อนออกเดินทาง และผลการทดสอบดังกล่าวต้องเป็นลบ (negative)
5. สัตว์ต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อหรือโรคติดต่ออื่นๆ ที่สำคัญ คือ Distemper Hepatitis และ Parvovirus อย่างน้อยยี่สิบเอ็ดวันก่อนออกเดินทาง และวัคซีนนั้นต้องเป็นชนิดที่ได้รับรองจากทางราชการ
6. กรงที่ใช้ในการขนส่งสัตว์ต้องได้รับการออกแบบในลักษณะที่ไม่ทำให้สัตว์เสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือทรมานโดยไม่จำเป็น
7.ห้ามมิให้มีการสัมผัสกับสัตว์อื่นในกรณีที่พาหนะขนส่งต้องแวะจอด(transit)ที่ท่าระหว่างทางใดๆที่ได้รับการรับรองและห้ามออกนอกเขตของท่านั้นเว้นแต่จะอยู่ในบริเวณที่กักกันของท่าระหว่างทางที่ได้รับการรับรองจากทางราชการ
8. เมื่อสัตว์เดินทางมาถึงท่าเข้าของประเทศไทย สัตว์นั้นจะต้องถูกกักกันในสถานกักกันที่ได้รับการรับรองเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน สัตว์ที่อยู่ในระหว่างการกักกันจะถูกตรวจสอบและหรือรักษาตามที่เห็นสมควรและจำเป็น ผู้นำเข้าหรือเจ้าของเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบและออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการกักกันสัตว์
9. การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลาย ซึ่งสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้

การเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ระหว่างประเทศ
การนำออกสิ่งมีชีวิต
การดำเนินการล่วงหน้า
1. ผู้ขออนุญาตนำสัตว์มีชีวิตไปยังประเทศใด ให้ติดต่อกับประเทศนั้นเพื่อขอทราบเงื่อนไข (Requirement) การนำสัตว์มีชีวิต เข้าประเทศนั้น
2. ผู้ขออนุญาตฯ นำเงื่อนไข (Requirement) ที่ได้รับมาขอคำแนะนำจากสัตวแพทย์ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศประจำท่าออกที่ จะนำสัตว์ออก เพื่อเจ้าหน้าที่สัตว์แพทย์จะได้ดำเนินการตรวจสอบโรคสัตว์ ตรวจสอบฟาร์มเลี้ยงสัตว์และอื่น ๆตามเงื่อนไขที่ประเทศปลายทาง กำหนดให้ถูกต้องเรียบร้อยตามความประสงค์ของประเทศปลายทางนั้น
3. ผู้ขออนุญาตยื่นคำร้องขอนำสัตว์ออกนอกประเทศด้วยตนเอง ไม่น้อยกว่า 15 วัน พร้อมสำเนาบัตรประจำตัว หากไม่สามารถติดต่อด้วยตนเองได ้ ให้ทำหนังสือมอบอำนาจพร้อมแบบสำเนาบัตรประจำตัวของผู้มอบอำนาจและ ผู้รับมอบมาด้วย โดยทางด่านกักกันสัตว์ ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศประจำท่าออกนั้นจะดำเนินการตรวจสอบ
ความถูกต้องเรียบร้อยของใบคำขอฯ และเอกสารประกอบคำขอเพื่อมิให้เกิดความติดขัดเมื่อถึงวันที่จะนำสัตว์ออก และนัดวันที่จะนำสัตว์มาตรวจสุขภาพต่อไป
4. ในกรณีที่สัตว์จะนำออกได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาด หรือได้รับการทดสอบโรคระบาดแล้ว ให้ผู้ขออนุญาตนำหลักฐานการฉีดวัคซีน หลักฐานการทดสอบโรค มาแสดงประกอบขณะยื่นคำร้องต่อสัตวแพทย์ประจำด่านกักกันสัตว์ เพื่อพิจารณาอนุญาตนำออกราชอาณาจักรด้วย
5. ผู้ขออนุญาตนำสัตว์ออกนอกราชอาณาจักรเพื่อการค้า ให้แนบสำเนาใบอนุญาตทำการค้าสัตว์ตามแบบฟอร์มของกรมปศุสัตว์ และแนบ ใบแสดงราคาสัตว์มาด้วยทุกครั้ง
6. ผู้ขออนุญาตนำสัตว์ออกนอกราชอาราจักรต้องเขียนชื่อผู้ส่งออกและผู้รับปลายทางเป็นภาษาอังกฤษให้ถูกต้องตรงกับเอกสารต่าง ๆ โดยเฉพาะหนังสือเดินทางเพื่อเจ้าหน้าที่ใช้ประกอบในการพิจารณาออกใบรับรองสุขภาพสัตว์

การดำเนินการช่วงนำออก
1. เจ้าหน้าที่สัตวแพทย์จะออกหนังสือใบอนุญาตนำออกฯ (แบบ ร.9) ซึ่งมีอายุการใขช้งาน 10 วัน นับจากวันที่ออกให้ และหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์( Health Certificate) ฉบับภาษา อังกฤษซึ่งมีอายุการใช้งานได้ไม่เกิน 10 วัน นับจากวันที่ออกให้กับผู้ขออนุญาตนำสัตว์ออกนอกราชอาณาจักรทุกครั้ง เพื่อให้ผู้ขออนุญาตนำไปแสดงต่อสัตวแพทย์ด่านกักกันสัตว์ (ท่าเข้า) ของประเทศปลายทาง
2. ผู้ขออนุญาตนำออกต้องติดต่อเจ้าหน้าที่สายการบิน หรือเจ้าหน้าที่เรือสินค้า และเจ้าหน้าที่ศุลกากรด้วยตนเอง โดยนำเอกสารหนังสือใบ อนุญาต (แบบ ร.9) ของกรมปศุสัตว์ไปแสดง
3. ผู้นำสัตว์ออกนอกราชอาณาจักรต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำออกฯ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติ โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2499

ขั้นตอนการส่งสัตว์เลี้ยง (สุนัข แมว นก ฯลฯ) ออกนอกราชอาณาจักร
1. ยื่นคำร้องขอส่งสัตว์ออก (แบบ ร.1/1)
2. ตรวจสุขภาพสัตว์ก่อนการเดินทางไม่เกิน 2-3 วัน
3. ด่าน ฯ ออกใบอนุญาตส่งสัตว์ออก (แบบ ร.9) พร้อมเอกสารรับรองสุขภาพสัตว์ (HEALTH CERTIFICATE)

คำแนะนำ : ในการยื่นคำร้องขออนุญาตส่งสัตว์ออกนอกราชอาณาจักร ควรมีเอกสารประกอบดังนี้
• สำเนาพาสปอร์ตเจ้าของสัตว์
• สำเนาบัตรประจำตัวผู้ดำเนินพิธีการส่งออก
• สำเนาใบรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (RABIES VACCINATION CERTIFICATE) กรณีสุนัข แมว ส่งออก

• ถ้าเป็นนก หรือสัตว์ชนิดอื่น ต้องมีเอกสารรับรองการส่งออกจากกรมป่าไม้ หรือคำยินยอมให้ส่งออกได้จากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์ป่าท่าอากาศยานกรุงเทพฯ และหรือมีเอกสาร CITES กำกับ


link ด่านกักกันสัตว์
http://www.taqis.com/AQSG/FindexAQS.htm

ข้อมูลเพิ่มเติม

การนำสุนัข/แมวออกนอกราชอาณาจักรต้องมี (1) passport ของผู้เดินทางตัวจริงพร้อมสำเนา (2)สมุดฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าพิษสุนขบ้า นำมายื่นพร้อมกรอกแบบฟอร์ม ร.1/1 ที่ด่านกักกันสัตว์สุวรรณภูมิ เขตปลอดอากร อาคาร ce-1 ชั้น 1 ช่อง 20 เปิดทำการวัน-เวลาราชการ โทร 02-1340731-2 Email address: qsap_bkk@dld.go.th ต้องดำเนินเรื่องล่วงหน้า 3 วันก่อนเดินทางเผื่อเอกสารไม่ถูกต้อง ต้องนำสัตว์มาตรวจสุขภาพที่ด่านด้วยพร้อมรับเอกสารใบอนุญาตนำออก(แบบ ร.9)และใบรับรองสุขภาพสัตว์ (Health Certificate) ค่าธรรมเนียม 50 บาทต่อตัว
หมายเหตุ สุนัข/แมว ต้องมีอายุ 4 เดือนขึนไป แต่ละประเทศจะมีเงื่อนไขไม่เหมือนกัน เช่น ญี่ปุ่น &กลุ่ม EU ต้องมีไมโครชิบ และตรวจ rabies titerซึ่งไม่ยอมรับ lab ไทย ต้องส่งซีรัมไปที่ตรวจอังกฤษ ญี่ปุ่น Eu เจาะเลือดแล้วส่งซีรัมไปตรวจต่างประเทศ ราคา 15000-18000 /ตัว ( แล้วแต่ว่าจะส่งไปตรวจที่ประเทศอะไร และ จำนวนตัวอย่างที่ส่งในแต่ละครั้ง ถ้าส่งพร้อมกันหลายตัวอย่าง เสียค่าขนส่ง ครั้งเดียว ค่าใช้จ่ายในเรื่องการขนส่งก็จะลดลง)

การส่งซีรั่มนั้น จะต้องมีการประสานงานกับห้องเลบ ทางประเทศที่เราจะส่งไปตรวจ เพราะเขาจะถือว่าเป็นวัตถุอันตราย ( อาจเป็นอาวุธทางชีวภาพได้ ) ดังนั้นที่ไปที่มาของ เลือดที่จะส่งไปต้องชัดเจนและมีเลบทางโน้นรับรอง ทางโรงพยาบาลฯ เอง ก็ต้องส่งผ่านศูนย์ในประเทศอีกชั้นหนึ่งเหมือนกัน เพราะไม่ได้ติดต่อโดยตรงกับเลบฯ ทางโน้น

ขั้นตอนการขอใบอนุญาต
http://www.dnp.go.th/wffp/Doc/5การนำเข้า-ส่งออก%20สัตว์ป่า%20ซากและผลิตภัณฑ์/4ขั้นตอนการขอใบอนุญาต.pdf


คำขอสป.4
http://www.dnp.go.th/wffp/Doc/5การนำเข้า-ส่งออก%20สัตว์ป่า%20ซากและผลิตภัณฑ์/1คำขอสป.4-สองภาษา.pdf

เอกสารประกอบการนำเข้า-ส่งออก
http://www.dnp.go.th/wffp/Doc/5การนำเข้า-ส่งออก%20สัตว์ป่า%20ซากและผลิตภัณฑ์/2เอกสารประกอบการนำเข้า-ส่งออก%20(ไทย).pdf

ขั้นตอนการตรวจสอบหมายเลขบัญชี
http://www.dnp.go.th/wffp/Doc/5การนำเข้า-ส่งออก%20สัตว์ป่า%20ซากและผลิตภัณฑ์/3ขั้นตอนการตรวจสอบหมายเลขบัญชี.pdf

เงื่อนไขการนำนกเข้าในราชอาณาจักร

1.จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์(healthcertificate)เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้

1.1 จำนวน ชนิด พันธุ์ เพศ และอายุของสัตว์
1.2 สถานที่เป็นแหล่งกำเนิดของสัตว์
1.3 ลักษณะพิเศษ หรือสี
1.4 ชื่อและที่อยู่ของเจ้าของหรือผู้ส่งออกและผู้นำเข้า (ผู้รับ)
1.5 การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึงข้อ 7

2. ประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดจะต้องปลอดจากโรค Avian Influenza (Fowl Plaque)

3. นกจะต้องอยู่ในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหกสัปดาห์ตั้งแต่เกิดหรือฟัก

4. นกจะต้องถูกแยกหรือกักกันภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออกเป็นระยะเวลายี่สิบเอ็ดวันก่อนการขนส่ง

5. นกจะต้องไม่มีการทำวัคซีนป้องกันโรค Newcastle Disease หรือโรคชนิดใด ๆ มาก่อน

6.ในกรณีสัตว์ปีกจำพวกเป็ด , ไก่ , ไก่ฟ้า , ไก่งวง , ไก่ต๊อก , นกกระทา , นกคุ้ม นกทุกตัวจะต้องถูกเก็บตัวอย่างไม่เกินสิบวัน ในระยะเวลาที่กำหนดหรือระยะเวลาที่กักกันและถูกนำไปตรวจเพื่อหา Salmonella pullorum, Salmonella gallinarum และ Salmonella typhimuriumซึ่งผลการทดสอบจะต้องเป็นลบ (negative) โดยใช้วิธีที่เป็นมาตรฐานตามข้อกำหนดของ OIE

7. สถานที่หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดจะต้องไม่มีประวัติการเกิดโรค Newcastle Disease, Fowl Cholera, Duck Virus Enteritis, Duck Virus Hepatitis, Marek's Disease, Avian Infectious Laryngotracheitis, Mycoplasma gallisepticum, Salmonellosis i.e. Salmonella enteritidis, Salmonella typhimurium, Salmonella pullorum (Pullorum Disease), Salmonella gallinarum (Fowl Typhoid), Psittacosis/Ornithosis, Infectious Bursal Disease, Avian Infectious Bronchitis, Avian Tuberculosis รวมทั้งโรคพยาธิในช่วงระยะเวลาเก้าสิบวันก่อนการส่งออก

8. กล่องหรือภาชนะบรรจุนกสำหรับส่งออกมายังประเทศไทยจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดใน International Air Transport Association (IATA) โดยเฉพาะข้อกำหนดเกี่ยวกับความสูง คอนสำหรับให้นกเกาะ การระบายอากาศ และมีน้ำและอาหารเพียงพอ

9.เมื่อสัตว์มาถึงท่าเข้าของประเทศไทยจะต้องถูกกักกันภายหลังการนำเข้า ณ สถานกักกันที่ได้รับการรับรองเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน สัตว์ที่อยู่ในระหว่างการกักกันสัตว์จะถูกตรวจสอบและหรือ รักษาตามที่เห็นสมควรและจำเป็น ผู้นำเข้าหรือเจ้าของเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบและออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการกักกันสัตว์

10. การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้

เงื่อนไขการนำไข่ฟักหรือลูกสัตว์ปีกเข้าในราชอาณาจักร


1. จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้

1.1 จำนวน พันธุ์ สายพันธุ์ และเครื่องหมายที่ภาชนะบรรจุไข่ฟักหรือลูกสัตว์ปีก
1.2 เพศของลูกสัตว์ปีก
1.3 รุ่นสายพันธุ์และวัตถุประสงค์ที่นำเข้า (เพื่อการค้าหรือนำมาใช้ปรับปรุงพันธุ์)
1.4 ชื่อและที่อยู่ของสถานที่ต้นทางหรือโรงฟัก
1.5 ชื่อและที่อยู่ของเจ้าของหรือผู้ส่งออกและผู้รับปลายทาง
1.6 การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 3 ถึง ข้อ 9

2. มีใบรับรองพันธุ์ประวัติหรือสายพันธุ์ (Pedigree Certificate) กำกับมาพร้อมกับสัตว์ที่นำเข้าเพื่อวัตถุประสงค์สำหรับใช้ทำพันธุ์

3. ประเทศต้นทางต้องปลอดจากโรค Avian Influenza (Fowl Plague)

4. ประเทศ เขตหรือพื้นที่ต้นทางต้องปลอดจากโรค Newcastle Disease, Parvovirus Infection, Avian Encephalitis, Duck Plague, Salmonellosis (Salmonella typhimurium และ S.enteritidis)

5.ไข่ฟักและลูกสัตว์ปีกต้องมีกำเนิดมาจากโรงเรือนที่มีการควบคุมโรคสัตว์ปีกเป็นอย่างดี ลูกสัตว์ปีกจะต้องมีสุขภาพดี เหมาะสมต่อการขนส่งหรือเดินทาง และปลอดจากโรคติดเชื้อใด ๆ รวมทั้งพยาธิภายนอกในช่วงเวลาที่ส่งออก

6. ไข่ฟักและลูกสัตว์ปีกต้องมาจากฝูงสัตว์ที่ได้รับการรับรองว่าปลอดโรคอุจจาระขาว (pullorum-free flock)

7. ฝูงสัตว์ปีกที่ปลอดจากโรคอุจจาระขาว (pullorum-free flock) อย่างเป็นทางการหมายความว่าสัตว์ปีกทุกตัวในฟาร์มนั้นที่มีอายุมากกว่าสี่เดือน ต้องให้ผลทดสอบเป็นลบ (negative) ทุกครั้งต่อการตรวจเลือดสองครั้งในระยะห่างกันยี่สิบเอ็ดวัน การสุ่มตัวอย่างตรวจควรจะดำเนินการเพื่อที่จะมั่นใจว่าฟาร์มได้ปลอดจากโรคนี้ การตรวจแยกเชื้อ Salmonella pullorum ควรใช้วิธีที่ยอมรับหรือวิธีที่แนะนำโดย OIE International Animal Health Code

8. ระยะหกเดือนก่อนการส่งออกสถานที่เลี้ยงสัตว์หรือโรงเรือนต้นทางสัตว์จะต้องไม่มีประวัติของการเกิดโรค หรือแสดงอาการหรือวิการของโรคดังต่อไปนี้คือ โรคNewcastle Disease, Infectious Bursal Disease (Gumboro), Infectious Bronchitis, Avian Encephalomyelitis, Egg Drop Syndrome'76, Mycoplamosis (การติดเชื้อจาก Mycoplasma gallisepticum และ Mycoplasma synoviae), Marek's disease, Parvovirus Infections, Viral Arthritis, Infectious Anemia, Fowl Cholera, Salmonellosis และ Pullorum Disease นอกจากนี้สำหรับเป็ดจะต้องปลอดจากโรคดังนี้คือ Duck virus Hepatitis, Duck Virus Enteritis, Parvovirus Infection, Anatipestifer Infection (New Duck Syndrome) และ Ornithosis ซึ่งไข่ฟักหรือสัตว์ปีกจะต้องไม่สัมผัสกับโรคเหล่านี้

9. ไข่ฟักหรือลูกสัตว์ปีกต้องมาจากโรงฟักที่มีการจัดการ ขั้นตอนเกี่ยวกับความปลอดภัยด้านสุขอนามัยและโรคสัตว์ที่ได้รับการรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออกซึ่งเป็นไปตาม ข้อกำหนดของ OIE International Animal Health Code

10. ตู้ฟักไข่ต้องทำการทำลายเชื้อโรคและรมยาฆ่าเชื้อก่อนนำไข่เข้าฟัก และไข่ฟักที่จะนำเข้าตู้ฟักไข่ดังกล่าวได้จะต้องเป็นไข่ฟักที่มาจากฟาร์มที่ปลอดจากโรคอุจจาระขาว (pullorum-free flock) เท่านั้น

11. ลูกสัตว์ปีกที่จะส่งออกมายังประเทศไทยจะต้องมาจากฝูงพ่อแม่พันธุ์ที่อยู่ที่ประเทศต้นทางอย่างต่อเนื่อง และฟักในโรงเรือนที่ได้รับการรับรองเพื่อการส่งออกมายังประเทศไทย

12. ไข่ฟักหรือลูกสัตว์ปีกที่ฟักได้จากตู้ฟักจะต้องนำมาบรรจุโดยการใส่ในกล่องหรือภาชนะที่ยังไม่ได้ใช้และไม่ได้สัมผัสกับไข่ สัตว์ปีกหรือนกที่มีสถานะของสุขภาพสัตว์ต่างกัน

13. เมื่อสัตว์มาถึงท่าเข้าของประเทศไทยจะต้องถูกกักกันภายหลังการนำเข้า ณ สถานกักกันที่ได้รับการรับรองเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน สัตว์ที่อยู่ในระหว่างการกักกันสัตว์จะถูกตรวจสอบและหรือ รักษาตามที่เห็นสมควรและจำเป็น ผู้นำเข้าหรือเจ้าของเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบและออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการกักกันสัตว์

14. การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้

เป็นรายละเอียดที่ดีครับ พี่หนุ่ย แต่ละเอียดมากเกินไป

ตรงการเดินเอกสารเอกสารผมให้ เฟสโฟล์เดอร์ทำให้ คิดเบ็ดเสร็จแล้วประหยัดกว่า

สัตว์จะถูกส่งเข้ามาแบบถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เราไปรับแล้วเอาเข้าฟาร์มกักโรคอีก 30 วัน

อาทิตย์หน้ามี ค่าง 5 สี เข้ามาอีก

geefreez พิมพ์ว่า:

เป็นรายละเอียดที่ดีครับ พี่หนุ่ย แต่ละเอียดมากเกินไป

ตรงการเดินเอกสารเอกสารผมให้ เฟสโฟล์เดอร์ทำให้ คิดเบ็ดเสร็จแล้วประหยัดกว่า

สัตว์จะถูกส่งเข้ามาแบบถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เราไปรับแล้วเอาเข้าฟาร์มกักโรคอีก 30 วัน

อาทิตย์หน้ามี ค่าง 5 สี เข้ามาอีก

ค่าง 5 สี ชักอยากจะเห็นซะแล้วสิ ของหายากนี่นา

ytw05 พิมพ์ว่า:

geefreez พิมพ์ว่า:

เป็นรายละเอียดที่ดีครับ พี่หนุ่ย แต่ละเอียดมากเกินไป

ตรงการเดินเอกสารเอกสารผมให้ เฟสโฟล์เดอร์ทำให้ คิดเบ็ดเสร็จแล้วประหยัดกว่า

สัตว์จะถูกส่งเข้ามาแบบถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เราไปรับแล้วเอาเข้าฟาร์มกักโรคอีก 30 วัน

อาทิตย์หน้ามี ค่าง 5 สี เข้ามาอีก

ค่าง 5 สี ชักอยากจะเห็นซะแล้วสิ ของหายากนี่นา

เค้าว่ากันว่าตัวนึงนี่ ได้รถเก๋งหรูๆๆคันนึงเลยเหรอครับ

มารอดูด้วยคนครับ

จะมารอจองนกนำเข้ากับคุณโก้เหรอครับ ฮิๆๆ

ถ้าเงินถึงก็อยากจองครับ

ต้องขอบอกว่าการนำเข้าเหยี่ยวนี่ยากมากๆครับ แค่หาฟาร์มที่จะยอมส่งนกไห้เราก็แย่แล้ว ผมติดต่อไปหลายสิบฟาร์ม พอบอกส่งมาเมืองไทย เขาปฏิเสธเลยครับ เหตุผมคือเอกสารที่เขาต้องทำมันเยอะและยุ่งยากมาก เขาขายในประเทศง่ายกว่าครับ แถมไม่พอขายอยู่แล้ว ถ้าส่งออกก็จะมีลูกค้าประจำเช่นพวกอาหรับที่เหมาหมด พวกเราแรงเงินน้อยเขาไม่ค่อยสนใจ ส่วนฟาร์มที่ผมสั่งนี่ผมรู้จักตั้งแต่ผมเป็นเด็กฝึกงานอยู่ฟาร์มที่อังกฤษแล้วบางทีเขาก็สั่งนกเข้ามาในฟาร์มเพื่อมีสายเลือดใหม่ๆเข้ามาเพาะพันธุ์ เคยรู้จักกัน แต่น่าเสียดายคนที่ผมรู้จักออกไปก่อนหน้าแล้ว แต่เขาก็ช่วย เรื่องเอกสารโหดมากๆครับ ผมเองก็เคยนำเข้าเหยี่ยวก่อนหน้าหลายครั้งมาเลี้ยงเอง แต่ต้องขอบอกว่าเอกสารจากทางยุโรป นั้นยากจริงๆ นกตัวไหนตัวนั้น มีห่วงขา ตามเอกสาร เกิดนกตายในฟามขณะเดินเอกสาร ก็ทำใจครับเอาตัวอืนพันธุ์เดียวกันแทนไม่ได้ ปีที่แล้วน้องๆขอไห้ช่วยเพราะอยากเลี้ยงนกนอกกัน โชว์ได้ไม่ต้องกลัว ผมเองจิงๆก็ขี้เกียจเพราะนกผมเองมีอยู่แล้ว แต่ก็ทำไห้ เริ่มจ่ายเงินกันเดือนสี่ กว่าจะจบเรื่องเอกสารก็เดือนสิบสองแล้ว ไม่ได้หยุดนั่งเฉยๆ นะครับ ใบอนุญาติโคตรเยอะ ทางคนส่งหนักกว่าทางเราอีก ปีนี้ผมเองยังขี้เกียจจะทำเลยเหนื่อยจิงๆครับ ว่าแล้ววันนี้ผมจะเอาอินทรีย์ทองไปบินเล่นกะน้องๆดีกว่า ตอนนี้เอ็มมี่เจ็บอยู่สู้กะตัวเงินตัวทองตัวใหญ่ ต้องพักอีกสักอาทิตย์

มีเงินแต่หาฟาร์มไม่ได้ก็อดได้นก หาฟาร์มได้ไม่มีเงินก็อด นกต้นทางตายก็ซวยอีก เอกสารยากทั้ง 2 ฝั่ง แต่ผมว่าทางไทยคง
เครียร์ได้ไม่ยากนัก (คงรู้ความหมายกันนะครับ) สรุปแล้วว่าต้องแอบเลี้ยงกันต่อไปก่อน...

ผมก็ว่ายากแหล่ะครับ แบบนี้งัยถึงต้องพัฒนานกล่าไทยไปสู่การอนุรักษ์อย่างยั่งยืน ก็คือการเพาะพันธุ์จากนกป่า เลี้ยงจนฝึกเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ได้ ถ้าเรายังโยนเผือกร้อนให้กัน คงพัฒนาอะไรได้ยาก ตอนนี้วงการสัตว์เลี้ยงแปลกๆนกป่าขันเสียงก็มีการจัดตั้งเป็นองค์กรต่อสู้อย่างเข็มแข็ง จนราชการต้องแจกจายขายนกของกลางพร้อมใบอนุญาติให้ไปเพาะเลี้ยงต่อเพพื่อสร้างรายได้แก่ชุมชนแล้วครับ
เราจะเริ่มและจะรอไปอีกนาน ก็ต้องทำเพื่อส่วนรวมของวงการFalconryเป็นหลักนำเป็นสู่พื้นฐานที่ดีต่อคนรุ่นหลังๆ จะดีที่สุดครับ

เมื่อวานทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ไปบุกจับที่ตลาดใกล้ ๆ จตุจักร (ดูจากข่าว 3 มิติ)
ได้นกแสกไป 7 ตัว และยังนกพันธุ์อื่น ๆ ที่ผิดกฏหมายอีกนับร้อยตัว นำทีมโดยอธิบดี
กรมป่าไม้เลย ได้แต่ของกลาง เจ้าของนกไม่ได้สักคน อิอิ

ใครได้ดูบ้างเอ่ยยยยยย

มันเป็นเรื่องปกติของเจ้าหน้าที่กับคนขายครับพี่เปี๊ยก
ถ้าเอากันจริงๆของกลางไม่ได้มีแค่นี้หรอกครับ...เพียบ!

เรื่องปกติของคนค้าขายทางนี้แหล่ะครับ จับกันไม่หมด มีแต่ป่าจะหมดเพราะทำแต่เรื่องไรสาระ เกาไม่ถูกที่คันมันก็ไม่หายครับ คนนี้ท่านจับลูกเดียวแต่มองอะไรยังไม่ใกลเท่าไร

nui_rc พิมพ์ว่า:

ผมก็ว่ายากแหล่ะครับ แบบนี้งัยถึงต้องพัฒนานกล่าไทยไปสู่การอนุรักษ์อย่างยั่งยืน ก็คือการเพาะพันธุ์จากนกป่า เลี้ยงจนฝึกเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ได้ ถ้าเรายังโยนเผือกร้อนให้กัน คงพัฒนาอะไรได้ยาก ตอนนี้วงการสัตว์เลี้ยงแปลกๆนกป่าขันเสียงก็มีการจัดตั้งเป็นองค์กรต่อสู้อย่างเข็มแข็ง จนราชการต้องแจกจายขายนกของกลางพร้อมใบอนุญาติให้ไปเพาะเลี้ยงต่อเพพื่อสร้างรายได้แก่ชุมชนแล้วครับ
เราจะเริ่มและจะรอไปอีกนาน ก็ต้องทำเพื่อส่วนรวมของวงการFalconryเป็นหลักนำเป็นสู่พื้นฐานที่ดีต่อคนรุ่นหลังๆ จะดีที่สุดครับ

ผมจะเอาใจช่วยครับจะเป็นอีกหนึ่งเสียงช่วยคุณหนุ่ย เหนื่อยเมื่อไหร่บอกผมนะครับ เดี๋ยวผมช่วยเป็นธุระหานกถูกกฏหมายไห้ จะได้ไม่ต้องแก้กฏหมาย

ส่วนผมคงยืนอยู่อย่างนี้แหละครับ เอาใจช่วยได้แต่ความเป็นจริงแล้วคงเป็นไปได้ยากถึงยากที่สุด แต่คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน 555+ ดูอย่างนกกรงหัวจุกสิครับ คนเลี้ยงตั้งเท่าไร มีการจัดการแข่งขันเกือบจะทุกวัน เพาะพันธุ์ออกมาตั้งเท่าไร (เพาะง่ายกว่าเหยี่ยวอีก) ยังไม่ถูกปลดออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองเลย ยังจับกันโครมๆ แต่ดูแล้วอนาคตสดใสกว่านกล่าเหยื่อ คงได้รับการปลดหรือผ่อนผันแน่นอนในเร็ววัน เพราะวงการนี้ทำอะไรออกมาเห็นเป็นรูปธรรมกว่าของนกล่าเยอะมากๆ จะทำให้นกล่าเหยื่อ เหมือนนกเขาชวา เขาใหญ่ นกหัวจุก หากว่าทำอย่างเขาไม่ได้ คงต้องฝันไปก่อนครับ ผมคงต้องค่อยๆเก็บเงินเพื่อหานกนอกมาเลี้ยงบ้างแล้วล่ะ แต่ว่าเมื่อไรยังไม่รู้ แต่ดูแล้วคงอีกนาน อยากได้ Harris สักฝูง 555+

ฝูง เลยหรอครับพี่ช่อน อย่างนี้ แบ่งผมบ้างสิ

nfcner พิมพ์ว่า:

เราก็รู้ๆกันอยู่แล้ว จะมาพูดกันทำไม เดี๋ยวก็เกิดปะเด็นอีก แต่ผมจะเลี้ยงขอผมอย่างงี้แหละ คงไม่มีปัญหากับใครนะ

เรื่องนี้มันไม่น่าก่อให้เกิดประเด็นครับพี่ เพียงแต่ว่าเอาความเป็นจริงมาบอกเล่าให้กันฟัง คงไม่เกิดประเด็นอะไรอีก เราเป็นกลุ่มเล็กๆ คงไม่มีใครสนใจเท่าไร ยกเว้นท่านผู้นั้น(เจ้าของบอรดนับนก) อิอิ

ในบอร์ดนี้พูดถึงเรื่อง กฏหมายน่ารู้ คงจะไม่เกิดประเด็นเพราะเราไม่ได้พูดถึงชื่อคนอื่นครับ ส่วนนกและสัตว์ป่าในประเทศไทยผิดกฏหมายหมดครับ ลองไปถามในเลี้ยงหมูป่าสิ มันก็ผิดครับ นกขุนทองก็ผิดนะครับ ไม่มีใบอนุญาติให้เพาะแต่เวลาขายก็เป็นนกที่เพาะเกินในบ้านเห็นๆ กฏหมายไทยขาดการพัฒนาปรับให้ทันยุคทันสมัย ติดเรื่องการบ้านการเมืองที่ต้องสู้กันอยู่ทำให้ประเทศเราไม่เจริญก้าวหน้า เป็นผลต่อเนื่องไปสู่ด้านอื่นๆครับ จนพูดได้ ไม่ว่ากัน จะด่าให้สะใจไปที่ พันพิทได้เลย ผมด่าราชการและนักการเมื่องที่ผมเป็นลูกน้องเค้าอยู่ ฮ่าๆๆ

สัตว์ที่เกิดจากการเพาะพันธุ์เป็นลูกผสมผมว่ามันน่าจะหลุดได้ แต่ผิดที่ไม่ได้รับการอนุญาติให้เพาะสัตว์ป่าได้สิครับ แล้วถ้าเป็นลูกเพาะที่มีหลักฐานว่าเพาะจริงๆ ก็คงทำเรื่องได้
สัตว์ป่านำเข้าเป็นทางเลือกนึงที่นำไปสู่การเรียนรู้เรื่องการขยายพันธุ์ได้ดี เพาะเป็นลูกนกเกิดจากกรงมาก่อนไม่ใช่ลูกป่า แต่การนำเข้ายากมากอย่าที่คุณลิปเคยประสบมาแล้ว

เดี๋ยวต้องรอคุณโก้พูดต่อว่าเค้าจะติดต่อเรื่องนกจากฟารมมาจำนวนนึงได้ไหมเพราะว่า สมาชิกบางคนไม่มีเงินเช่นเดียวกับผมมีเยอะที่อยากได้ คุณโก้จะทำราคาให้ถูกตามความเป็นจริงกำไรได้ก็เป็นค่าเสียเวลาเค้าบ้าง

คุณช่อน จนใจก็เก็บเงินรอได้แล้วนะครับ เงินเดือนก็เยอะกว่าผมเป็นเท่าตัว ฮิๆๆ

พี่หนุ่ยก็พูดไปนั่น เงินเดือนไม่เยอะหรอกครับ พออยู่ได้ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนก็เยอะอยู่ ช่วงนี้ยิ่งใช้เงินเยอะด้วย ผมถึงบอกไงว่าต้องเก็บเงินนาน ว่าจะเก็บสักเดือนละพันสองพัน เลยไม่รู้ว่าจะได้ Harris ฝูงนั้นเมื่อไรครับ ตอนนี้ตัวเดียวก็ให้ได้ก่อนเถอะ อิอิอิ

ท่านที่พูดถึงกันคือใคร อยากรู้จริงๆเห็นมีแค่คนพูดถึง ไม่สะดวกหลังไมค์ก้อได้ครับ

คุณongnisuka สนใจจองนกล่านำเข้าไหมครับ ราคานกไทยเดี๋ยวนี้บางรายขายแพงมากเลย อีกไม่นานราคาจะเท่านกจากนอกครับ(บางตัว) ออมเงินไว้ๆๆ คุณโก้จะเปิดให้ลงชื่อจองนกเร็วๆนี้ กว่าทำเรื่องก็อีก 6-8เดือนครับ จ่ายเงินราคานำเข้า+ค่าดำเนินการแล้วคุ้งค่านะ มีแหวนนกและใบอนุญาติจากต่างประเทศด้วย ผมจองแล้วในใจ ฮิๆๆ ไปบ้านคุณโก้อีกครั้งจะลงชื่อและเอารูปนกไปให้ดูเลย ราคาซื้อเว็บ110iได้เลยครับ ก็ไม่แพงนะ ฮ่าๆๆ

ลองเอามาดูนะครับ ผมก็อยากเล่นนกนอกเหมือนกันครับ

จำนวนน้อยๆ ก็ไม่คุ้มที่จะนำเข้าครับ อย่าน้อยต้อง10ตัวUP หรือต้องการจริงๆ 10คนที่เอาจริงนะหมายถึงมีความพร้อมตังที่เลี้ยงและเงิน คุณโก้ถึงจะนำเข้าให้ครับ เราต้องมองถึงความคุ้มทุนด้วย ทั้งที่คุณโก้ก็ไม่ได้ทำด้านนี้โดยตรงเป็นการค้า แค่สมาชิกต้องการจริงก็จะลองนำเข้าให้ นี่ก็เป็นโอกาสทองที่หาเพื่อนสมาชิกอย่างคุณโก้ไม่ได้ง่ายๆนะครับ

ผมก็สนใจอยู่เหมือนกันนะ

ช่วงนี้ยังไม่น่าสั่งเท่าไร เพราะจะเป็นนกเก่าค้าง stock ที่ไม่มีคนเอาเลยเหลือ ทาง Thaihawkmaster จะเลือกแต่นกตามปีเท่านั้น เพื่อไห้ได้นกที่มีคุณภาพสูงสุด ปีนี้ผมจะเดินทางไปคัดนกด้วยตัวเองเลย เพราะมีนกบางตัวที่ราคาหลักล้าน เลยต้องละเอียดมากๆครับ ตอนนี้ order ทางร้านค่อยข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นพวก ฟาวคอนระดับโลก นกเค้า เหยี่ยวแฮลิส เหยี่ยวหางแดง นกอินทรีย์ ส่วนเรื่องราคาไม่ต้องห่วงนะครับตามความพึงพอใจของผู้ขาย ถ้าคุณนิสัยดี รักการฝึกนกจริงๆจังๆ รับลองถูกแน่ๆครับ

อย่างที่พี่ลิบว่าละครับ จะเอาเข้ามาต้ิองระวังเรื่องของนกค้างปีด้วย ใครจะเล่นก็เอานกปีต่อปีไปเลยครับ

บริการสอบถามข้อมูลสำหรับฤดูผสมพันธุ์ 2011 (อธิบายเป็นขั้นตอน)

http://www.falcons.co.uk/default.asp?id=32&menu=2

เหยี่ยวแฮลิส เหยี่ยวหางแดง เป็นชนิดที่มีเยอะกว่าเพื่อนก็ไม่น่าจะแพงเกินจริงไปมากนะครับ และ2ชนิดนี้เป็นที่นิยมด้วยฝึกก็คงไม่ยากนัก

nui_rc พิมพ์ว่า:

เหยี่ยวแฮลิส เหยี่ยวหางแดง เป็นชนิดที่มีเยอะกว่าเพื่อนก็ไม่น่าจะแพงเกินจริงไปมากนะครับ และ2ชนิดนี้เป็นที่นิยมด้วยฝึกก็คงไม่ยากนัก

ฝึกไม่ยากครับนิสัยดี เชื่องมากๆ ทาง thaihawkmaster ปีที่แล้วนำเข้ามาเจ็ดตัว ปีนี่คนสั่งเยอะอาจถึงสิบตัว หรือ อาจจะเกิน ส่วน falcon ใน link น่าสนใจมากๆเลย แต่ผมว่าสั่งกับ Thaihawkmaster จะถูกกว่าซื้อที่ฟาร์มนั้นเองนะ

ถ้าราคาไม่สูงเกินกว่าที่หลายคนจะรับไหวนะครับ ทางSFC. มีพื้นที่ให้สำรวจความต้องการและบริการจัดหาสายพันธุ์ที่ต้องการ คุณลิปลองประกาศที่ กระทู้ซื้อขายได้นะครับ
ห้องกระทู้นี้หลายท่านไม่สามารถตอบกระทู้ได้หรือไม่ก็ไม่เห็นครับ ถ้าน่าสนใจราคาถูกลงก็คิดว่ามีคนที่พร้อมจะสั่งครับ

คุณลิบสามารถลงขายสินค้าหรือรับจองเหยี่ยวที่ห้องซื้อขายได้เลยครับ อย่างที่พี่หนุ่ยว่ากระทู้ปลีกย่อยบางท่านที่สนใจก็อาจจะหาไม่เจอได้ครับ

ทางภาคใต้ลงมาถึงมาเลเซียมีนกเหยี่ยวตัวไหนน่าสนใจบ้างครับ

ถามชิปปิ้งแถวนี้มันบอกว่ามีแต่เอานกออกจากไทยลงมาขาย

เอาเข้าทางนี้ส่วนใหญ่เป็นนกแก้วซะเยอะ

ที่น่าสนใจก็จะมีแข้งขนตระกูล Hawk eagle ก็คือ เหยี่ยวดำท้องขาวกับเหยี่ยวสีน้ำตาลท้องขาวครับ อีกพวกก็คือเขาหงอนทางใต้ละครับ

วันนี้ผมอยู่ที่อิปโป IPOH ห่างจากสะเดาประมาณ 300 กม

ห่างกัวลาลัมเปอร์ 150 กม. ภูมิประเทศเป็นเมืองในหุบเขา



น่าจะมีเหยี่ยวภูเขาเยอะ กำลังให้พวกกันตามหาอยู่ครับ

(ไม่รู้เกี่ยวกับหัวข้อกฎหมายน่ารู้หรือป่าว แต่ผมนำเข้าได้อย่างถูกกฎหมายนะครับ)

เชียร์เลยครับ ถ้าเอามาได้เอามาเลย

สนับสนุนด้วยครับ ขอเจ๋งๆสักตัวขอไซร์ใหญ่ๆเลยครับ สู้แค่หมดทุนเลย

ถ้าเข้ามาได้เพื่อผมด้วยนะครับ

เหยี่ยวภูเขาไม่สามารถนำเข้าอย่างถูกกฏมายครับ ขอโทษครับที่ทำไห้หลายๆคนฝันสลาย

เหยี่ยวภูเขาหรือกลุ่มเหยี่ยวดงทางมาเล อินโดผมว่ามันสวยกว่าทางเหนื่อของไทยเรานะ น่าเสียดาย แต่ปกติเราก็มีกันโดยไม่ได้กลัวอะไรเท่าไร ถ้าเอาทางใต้มาได้ก็น่าจะดี

มาเล อินโด ไม่มีเหยี่ยวภูเขาแต่มีเหยี่ยวดงพันธุ่ อื่นคับ รับรองไม่มีถูกกฏหมาย เพราะประเทศเหล่านี้มีกฏมหมายคล้ายบ้านเราคือ ไม่อนุญาต ส่งออก สัตว์ พรบ ของเขา ก็ต้องลักลอบทางเรือกันตามระเบียบ

ที่มาเลย์น่าจะมีพวกดำท้องขาว (BHE) กับน้ำตาลท้องขาว (WHE) อย่างอื่นถ้ามีผมไม่แน่ใจ แต่ที่อินโดก็ที่เห็นมีก็เป็นเหยี่ยวนกอินทรีพันธุ์ชวา (JHE) (เห็นนักดูนกไทยเขาเรียกแบบนี้) เหยี่ยวนกอินทรีพันธุ์สุลาเวสี อย่างอื่นก็ไม่รู้ครับ

ว่าแต่...ถ้าเป็นการนำเข้ามาในนามของสวนสัตว์ (Z) อ่ะครับ ทำได้ไหม?

ึครับๆใช่ ตอนใต้ไม่มีเหยี่ยวภูเขา จะมีตอนบนไปถึงจีน แต่กลุ่มเหยี่ยวดงที่ผมว่าน่ะ ทางใต้ประเทศเราลงไปสวยงามและตัวไม่ใหญ่เกินไปที่จะเอาไปล่านกครับ